น้ำตาลคือมารร้าย



เราต่างรู้ดีว่าไม่กินน้ำตาลนั้นยากแค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่สังคายนาเจ้าปีศาจร้ายนี่ออกไปจากอาหารของคุณล่ะก็ชาตินี้คุณคงไม่มีวันผอมเหลือร้ายได้หรอก มองไปรอบๆ ครัวแล้วตระหนักเสียเถอะว่า เจ้าซาตานเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เพราะบางทีมันอาจอยู่ในที่ที่คุณไม่คาดว่า  มัน จะอยู่ก็ได้ ลองอ่านส่วนผสมข้างกล่องซีเรียล ขนมปัง แครกเกอร์อาหารขยะ  และของกินทุกอย่างดูบ้าง น้ำตาลก็เหมือนกับโลกาวินาศ ผู้ผลิตอาหารรู้ดีว่าหากเติมน้ำตาลลงในสินค้าของพวกเขาล่ะก็ คุณต้องกลับมาอุดหนุนอีกเป็นแน่
ตัวตนของมารร้ายตัวนี้คืออะไรน่ะเหรอ ก็คือน้ำที่ได้จากน้ำตาลต้นไม้ ฟังดูดีใช่ไหม ใช่... ฟังดูดีนะ หากกินแต่เอนไซม์ทั้งหมดเข้าไปแบบดิบ ๆ รวมทั้งเส้นใยอาหาร วิตามินและเกลือแร่จะถูกทำลายระหว่างกระบวนการแปรรูป ขั้นแรกคือ คั้นน้ำย่อยออกมา  จากนั้นก็นำน้ำคั้นที่ได้ออกมาไปเคี่ยวจนเหนียวแล้วตกผลึกต่อมาก็น้ำเข้าเครื่องเหวี่ยงหรือปั่น เพื่อแยกน้ำเชื่อมออกมา นำน้ำตาลที่ได้ไปทำความสะอาด และกรองเอากากที่ไม่ใช่น้ำตาลออกและสกัดสี (แต่ถึงอย่างไร ที่กรองน้ำตาลก็ทำมาจากกระดูกสัตว์ซึ่งก็สกปรกอยู่วันยังค่ำ) ขั้นตอนสุดท้ายให้นำน้ำตาลไปทำแห้งและบรรจุหีบห่อ เห็นหรือยังว่าน้ำตาลแปรรูปนั้นไม่หลงเหลือคุณค่าอาหารเอาไว้เลย และมักใส่อาหารที่เต็มไปด้วยไขมันแคลเลอรี่ไร้ประโยชน์ และคอเรสเตอรอลเป็นถุงเป็นถัง ดังนั้นคุณจึงเริ่มติดอาหาร (เพราะมีน้ำตาล) ที่มีไขมันปริมาณมาก ทั้งไขมันอิ่มตัว น้ำมันไฮโดรเจน และแคลเลอรี่ น้ำตาลขัดขาว ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวนั้นอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำการเติบโตของยีสต์ที่มากเกินไป (ลองดูที่ชุดชั้นในคุณสิ) ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โรคไฮเปอร์ โรคสมาธิสั้น ตับและไตบวม กรดยุริกในเลือดเพิ่มขึ้น ความผิดปกติของจิตใจและอารมณ์ ฟันผุและความไม่สมดุลของสารนำประสาทในสมองนอกจากนี้น้ำตาลขัดขาวยังทำให้คุณอ้วน อีกด้วย ปริมาณน้ำตาลเกินจำเป็นจำสะสมที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่เมื่อตับรับไม่ไหวแล้วน้ำตาลส่วนเกินจะกลับคืนสู่กระแสเลือดในรูปของกรดไขมันอุตสาหกรรมน้ำตาลถือเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในอเมริกา เพราะอเมริกาเป็นผู้ผลิตอาหารที่ใช้น้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของโลก แค่ทำร้ายประชากรตัวเองยังไม่พอ ต้องทำให้ประเทศอื่นวายวอดตามไปด้วย
                น้ำเชื่อมฟรักโทสเข้มข้นสูงที่ได้จากข้าวโพดนั้น ถือเป็นแหล่งน้ำตาลมารร้ายที่ผสมอยู่อาหารจำนวนมาก ผู้ผลิตหลงรักความอัจฉริยะของมัน และใส่ลงในสินค้าแทบทุกชนิด เช่น น้ำผลไม้ โซดา เบียร์ โยเกิร์ต อาหารเสริมพลังงาน คุกกี้ ลูกอม ขมปัง หรือแม้แต่อาหารแช่แข็ง น้ำเชื่อมฟรักโทสเข้มข้นสูงที่ได้จากข้าวโพดผ่านกระบวนการมากกว่าน้ำตาล และให้ความหวานมากกว่า แต่ก็เป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจกับเกษตรกร ด้วยเหตุว่าต้นการผลิตต่ำ น้ำเชื่อมชนิดนี้มีผลข้างเคียงต่อระดับน้ำตาลในเลือดเป็นอย่างมากเช่นเดียวกับน้ำตาลขัดขาว จากการศึกษาของสถาบันอเมริกาโภชนาการ (American Journal of Clinical Nutrition) พบว่าโรคเบาหวาน และโรคอ้วนนั้นสัมพันธ์กับการกินน้ำตาลขัดขาว และน้ำเชื่อมฟรักโทสเข้มข้นสูงที่ได้จากข้าวโพด
เราไม่ได้บอกให้คุณเลิกกินคุกกี้ไปตลอดชีวิตหลอกนะเพราะเรายังไม่อยากจุกชนวนก่อจลาจลในตอนนี้ เราเพียงแค่แนะนำว่า คุณควรกินอาหารอื่นที่มาจากธรรมชาติ และดีต่อสุขภาพแทนการกินน้ำตาลขัดขาว นั่นก็คือ น้ำหวานท็อปลิสต์น้ำว่านหางจระเข้หรือน้ำเชื่อม สารให้ความหวานมากคุณประโยชน์นี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพคุณอย่างแน่นอน เพราะไม่มีสารเคมีแปรรูปหรือวัตถุดิบ (ที่ยังไม่ผ่านกระบวนการสมบรูณ์) ซึ่งมีวิตามินและเกลือแร่ เนื่องจากน้ำว่านหางจระเข้จะค่อยๆ ซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้าๆ จึงไม่มีผลกระทบสำคัญต่อระดับน้ำตาลในเลือด และสามารถใช้แทนน้ำตาลในสินค้าหรือสูตรอาหารได้
สตีเวีย (Stevia) สารให้ความหวานแชมป์เปี้ยนอีกตัวหนึ่งซึ่งสกัดมาจากต้นไม้ที่ในป่าปารากวัย ชาวญี่ปุ่นใช้สารให้ความหวานสุดมหัศจรรย์ชนิดนี้มาหลายทศวรรษ รวมทั้งชาวอเมริกาใต้ก็ใช้มาหลายศตวรรษ จริง ๆ แล้วคนหลายร้อยล้านทั่วโลกใช้สตีเวียในการสร้างสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด ลดความอยากกินของหวาน และช่วยย่อยอาหารได้ด้วย นอกจากนี้สตีเวียยังมีคุณสมบัติในการต้านจุลินทรีย์ (ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย) แต่โชคร้ายหน่อยที่คนอเมริกาไม่ให้ความสำคัญกับสารให้ความหวานชนิดนี้ สารความหวานสมุนไพรจากธรรมชาตินี้ไม่มีแคลเลอรี ดัชนีไกซีมิก (ซึ่งหมายความว่า มันไม่เปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในเลือด) และปลอดภัยสำหรับผู้ป่ายเบาหวาน แต่ด้วยเหตุผลบางประการที่ไม่ทราบแน่ชัด ทำให้องค์การอาหารและยาไม่ยอมรับให้ใส่พืชอัจฉริยะอย่างสตีเวียลงในอาหาร อาจเป็นเพราะว่าองค์การนี้ฮั้วกับอุตสาหกรรมน้ำตาลก็เป็นไปได้
สารให้ความหวานแทนน้ำตาลขัดขาวชนิดอื่นๆ ก็อย่างเช่น น้ำตาลปี๊บ ซูคานัตหรือน้ำตาลอ้อยจากธรรมชาติไม่ขัดขาวน้ำเชื่อมข้าวกล้อง น้ำเชื่อมมอลต์บาร์เลย์ น้ำตาลราพาดูราหรือน้ำตาลอ้อยโปรตุเกส น้ำตาลเทอร์บินาโดหรือน้ำตาลที่ได้จากการสกัดอ้อย น้ำตาลดิบ น้ำตาลจากหัวบีต น้ำตาลตาลอินทผลัม น้ำเชื่อมเมเปิ้ล น้ำเชื่อมข้นจากการน้ำตาล และน้ำเชื่อมแบคสแตรปหรือน้ำเชื่อมข้นจากเหล้าอ้อยผสมน้ำผึ้ง (ผู้ผลิตบางรายเติมมันหมูลงไปในน้ำเชื่อมเมเปิ้ลเพื่อลดการเกิดฟอง ดังนั้นคุณจึงมั่นใจได้เลยว่าสินค้าที่คุณซื้อนั้นบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์และเป็นธรรมชาติอย่างแน่นอน) อย่าโง่แล้วก็บ้องตื้นไปหน่อยเลย เพราะสารให้ความหวานจากธรรมชาติเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณมากกว่าหนึ่งคุณค่าเสียอีก เช่น เอนไซม์ แคลเซียม เหล็ก โพแทสเซียม โปรตีน วิตามินบี แมกนีเซียม โครเมียม ใยอาหารและกรดโฟลลิค สารให้ความหวานบางชนิดก็ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอีกด้วยแต่เราไม่ได้บอกให้คุณกินคัพเค้กที่ใช้น้ำตาลธรรมชาติสามมื้อต่อวันหรอกนะ เพราะเราแค่บอกว่าคุณจะซื้อหรือกินเค้กบ้างก็ได้ ขอแค่ใช้สมองคำนวณเสียหน่อยว่าตัวคุณเองกินน้ำตาลไปมากเท่าไหร่
อุแม่เจ้า !! ดรัมโรลเนี่ยของหวานสุดโปรดอีกอย่างของเราเลยล่ะ มันเป็นของหวานจำพวกคุกกี้มังสวิรัติของคุณลุงเอ็ดดี้ช็อกโกแลตแท่งรสชาติจัดจ้านแบบตะวันออกอย่างเทอร์รานอสตราขนมที่คลับคล้ายคลับคลาโอรีโอ้จากแบล็คทู  เนเจอร์หรือไม่ก็เคสน์ช้อยส์คุกกี้มะเดื่อของฟิกนิวแมนส์และเหล่ามวลคุกกี้ ที่ผลิตโดย บริษัทซันฟลาวเออร์จำกัด และอัลเทอร์เนทีฟเบกิงจำกัด
ตอนนี้คุณได้รูข่าวดีเกี่ยวกับของหวานต่างๆ  มาเยอะแล้วคราวนี้คงเลิกกินน้ำตาลร้ายได้แล้วนะ  เห็นกันโต้งๆว่าน้ำตาลขัดขาวมีผลร้ายกับตัวคุณเช่นเดียวกันกับน้ำเชื่อมข้าวโพดที่มีฟรักโทสสูง แล้วถ้าคุณก้นย้อยห้อยยานมา ก็ช่วยหยุดสวาปามทุกสิ่งทุกอย่างที่ใส่แอสปาร์เทมซะ
             ซึ่งรวมทั้งไดเอตโซดา และอาหารแบบชูการ์ฟรีที่มีนูสตราสวีต หรืออิควลด้วยก่อนที่แอสปาร์เทมจะได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา ก็โดนแบนมากกว่าแปดครั้ง  จี .ดี. เซร์ (G.D. Searie) ผู้ค้นพบแอสปาร์เทม  พยายามที่จะให้  อย.รับรองแอสปาร์เทมให้ได้  ในปี  พ.ศ.2516  เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ได้สะทกสะท้านเมื่อเห็นรายงานจากผู้เชี่ยวชาญทางสมอง อย่างด็อกเตอร์จอห์น โอล์นีย์ และนักวิจัย อย่างแอน เรย์โนล์ดส (นักวิจัยที่เซิร์ลจ้างมาด้วยตัวเขาเอง) ที่รายงานว่า แอสปาร์เทม เป็นสารที่มีอันตราย เด็กเตอร์มาร์ธา ฟรีแมน นักวิทยาศาสตร์จากองค์การอาหารและยา แผนกยาเพื่อการเผาผลาญต่อมไร้ท่อ ได้ประกาศว่า “ข้อมูลที่ส่งมาให้พิจรณานั้นไม่เพียงพอที่จะอนุญาตให้เห็นชอบกับการประเมินความปลอดภัยทางวิทยาศาสตร์” ด็อกเตอร์มาร์ธา แนะนำว่า จนกว่าความปลอดภัยของแอสปาร์เทมจะได้รับการพิสูจน์ ก็ไม่ควรอนุญาตให้ผลิตอาหารที่มีส่วนผสมของสารชนิดนี้ด้วย  อนิจจาที่ไม่มีใครสนใจคำแนะนำของเธอเลย แต่อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2517 แอสปาร์เทมของเซิร์ล ได้รับการรับรองให้ใช้กับอาหารแห้งได้ ซึ่งหนทางที่ได้มานี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเอาเสียเลย ในปี พ.ศ.2518 อย. พยายามที่จะทบทวนวิธีการทดสอบของเซิร์ล ฟิลิป บรอดสกี้ หัวหน้าทีมทดสอบกล่าวว่า “เขาไม่เคยเห็นอะไรที่เลวร้ายไปกว่าการทดสอบของเซริลเลย” และเขายังเรียกผลการทดสอบว่า “แอบร้าย” ก่อนที่จะมีการใช้แอสปาร์เทมในอาหารแห้ง โอลนีย์ และทนายความ รวมถึงลูกค้าที่ให้การสนับสนุนจิม เทอร์เนอร์นั้น ได้แสดงการคัดค้านต่อการรับรองในครั้งนี้
                ในปี พ.ศ.2520 อย. ได้ขอให้สำนักงานอัยการสหรัฐอเมริกาดำเนินคดีต่อเซิร์ล ในข้อหา “บิดเบือนสิ่งที่ค้นพบโดยรู้เห็นเป็นใจปกปิดความจริง และแถลงผลการทดสอบแอสปาร์เทมที่เป็นเท็จ”หลังจากนั้นไม่นานทนายความของสหรัฐอเมริกาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นทนายผู้นำการสืบสวนของเซิร์ลได้รับข้อเสนอตำแหน่งใหม่จากสำนักงานกฎหมายของเซร์ล และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็ลาออกและถอนตัวออกจากคดีไป ทำให้การสืบสวนของลกขุนเป็นไปเป็นไปอย่างล่าช้า สาเหตุนี้เองทำให้ข้อหาหมดอายุความและการสืบสวนต้องชะงักไป น่าแปลกใจที่อัยการคนนั้นรับงานที่สำนักงานกฎหมายของเซร์ลเสนอให้...ตะลึงไหมล่ะ
               ในปี พ.ศ.2523 คณะกรรมการสอบสวนของ อย.ได้พิจารณาแล้วว่าจะไม่รับรองแอสปาร์เทม  โดยกล่าวว่า”ไม่มีสิ่งพิสูจน์ที่แน่นอนว่า แอสปาร์เทมเป็นสารปรุงแต่งที่ปลอดภัย” นายอาร์เธอร์ ฮัลล์ เฮยส์ ไดรับการแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีองค์การอาหารและยาในปี พ.ศ.2524 แม้นักวิทยาศาสตร์หกคนจะเสนอข้อเท็จจริงสามข้อในการคัดค้านการรับรองสารดังกล่าว แต่เฮยส์ก็ยังคงตัดสินใจให้มีการใช้แอสปาร์เทมในอาหารแห้งต่อไป ในปี พ.ศ.2526 เขารับรองการใช้แอสปาร์เทมในเครื่องดื่ม แม้ว่าสมาคมเครื่องดื่มแห่งชาติ(National Soft Drink Association) จะกระตุ้นให้ อย.เลื่อนการรับรองออกไปจนกว่าจะได้มีการทดสอบในปีเดียวกันนั้นเอง เฮยส์ได้ปล่อยให้ อย.อยู่ท่ามกลางข้อกล่าวหาถึงความไม่เหมาะสม แผนกภายในของเฮลส์แอนด์ฮิวแมนเซอร์วิส(Health and Human Services) กำลังทำการสืบสวนเฮยส์ว่า รับสินบนจากบริษัทที่ อย.ควบคุมอยู่หรือไม่ เขาทำงานเป็นที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ให้กับสำนักงานกฎหมายของเซร์ลด้วย น่าสนใจเลยทีเดียว ท้ายที่สุด อย.ต้องกระตุ้นคองเกรสให้ฟ้องร้องเซร์ล ข้อหาให้การเท็จต่อรัฐบาล และแจ้งผลการทดสอบแอสปาร์เทมที่ไม่สมบูรณ์ แต่ทนายของรัฐสองคนก็ตัดสินใจไม่ยื่นฟ้อง และฅ่อมาภายหลังทั้งสองก็ไปทำงานให้กับสำนักงานกฎหมายของเซิร์ลอีกเช่นกัน เยี่ยมไปเลย...แม้จะมีลักษณะอาการถึงเก้าสิบสองอาการที่เกิดขึ้นจากการทดสอบแอสปาร์เทม แต่ อย.ก็ยังรับรองให้ใช้ในอาหารได้โดยไร้ข้อจำกัดในปี พ.ศ.2539 แจ๋วจริง ๆ...
                ผู้คนจำนวนมากต้องล้มป่วย เพราะสารพวกนี้ จนกระทั่งเกิด เป็นกลุ่มช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายจากแอสปาร์เทมขึ้น ผลข้างเคียงบางอย่างที่ อย.ได้ระบุไว้จากเก้าสิบสองรายการ อย่างเช่น  สูญเสียความทรงจำ เซลล์ประสาทเสียหาย ไมเกรน ความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ ความสับสนทางจิต อาการบาดเจ็บทางสมอง ตาบอด เจ็บข้อต่อ อัลไซเมอร์ โรคลำไส้บวมแก๊ส ความผิดปกติของระบบประสาท ผมร่วง อยากอาหาร และน้ำหนักตัวเพิ่ม
                แอสปาร์เทมเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้กว่าหนึ่งพันล้านเหรียญ เดอะเนชันนอล จัสติส ลีก (The National Justice League) ได้ฟ้องร้องบริษัทผลิตอาหารจำนวนมากที่ใช้แอสปาร์เทม โดยร้องเรียนว่า เป็นการวางยาสาธารณชน  ในเดือนกันยายน ปี พ.ศ.2547 มีการฟ้องร้องค่าเสียหายจากนูตราสวีต (NutraSweet)และสมาคมโรคเบาหวานอเมริกัน(American Diabetics Association) ถึง 350 ล้านเหรียญ โดนัลด์ รัมสเฟลด์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ชื่อว่าใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อให้ อย. รับรองแอสปาร์เทม
                นูตร้าสวีต และอิควล มีสารแอสปาร์เทม เมื่อกินเข้าไปแล้วสารประกอบตัวหนึ่งในอแสปาร์เทมคือ เมธิลแอลกอฮอล์จะเปลี่ยนรูปเป็นฟอร์มัลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารพิษทำลายประสาท นอกจากจะประกอบไปด้วยแอสปาร์เทมแล้ว อิควลยังประกอบไปด้วยฟินิลอะลามีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในสมองของเรา แต่ปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้เกิด อาการซึมเศร้า และเป็นโรคจิตเสื่อม เจ้าสารปีสาจร้ายสองตัวนี้ไม่มีวันลดความร้ายกาจลง ทั้งนี้ตราสวีต และอิควลนั้นเป็นตัวมาร สวีตตี้แอนด์โลว์ก็ไม่ได้เป็นนักบุญมาจากไหน เพราะทั้งหมดต่างก็เป็นสารให้ความหวานที่ประกอบไปด้วยแซคคารินและสารประกอบจากน้ำมันถ่านหิน จงหลีกให้ไกล
                เนื่องจากพวกเราสนุกกันมามากพอแล้ว เพราะฉะนั้นก็เลิกกินไอ้ตัวร้ายกาจอย่างสเปลนดา(Splenda) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานรูปแบบใหม่ด้วย สเปลนดานั้นทำจากน้ำตาลที่มีส่วนผสมจากคลอรีน ซึ่งจะเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลของตัวมันเองจนได้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายเป็นซูคราโลส ผู้ผลิตยาพิษชนิดนี้ชักจูงผู้บริโภคว่า เป็นสารที่ไม่มีแคลเลอรี และปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน อย.กล่าว่า ซูคราโลสนั้นเป็นสารบริสุทธิ์ถึง 98 เปอร์เซ็นต์นั้น  ประกอบด้วยโลหะหนักเมธานอน และสารหนู อุแม่เจ้า !! อย่างน้อยมันก็ไม่มีแคลเลอรีจริง ๆ นั่นละ แล้วมันมีสารหนูเล็กน้อยจะเป็นไรไป มีการค้นพบว่าซูคราโรสเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ความเสียหายของการเติบโตของอวัยวะ ระบบคุ้มกันโรค ระบบสืบพันธุ์ ตับและไตบวม และน้ำหนักตัวของทารกในครรภ์ลดลง ช่างเป็นผลิตภัณฑ์แสนวิเศษจริง ๆ จากบทความเรื่อง “มหันต์ภัยร้ายของซูคราโลส” (The Potential Dangers of Sucralose) ของดอกเตอร์โจเซฟ เมอร์โคล่า (Dr.Joseph Mercola) ในคอนซูเมอร์แมกกาซีนกล่าวว่า “ยังไม่มีหลักฐานที่ฟันธงได้ว่า สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีประโยชน์ในการลดน้ำหนัก ในทางกลับกันนั้น มีหลักฐานบางอย่างบ่งชี้ว่าสารแทนน้ำตาลเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร
ไม่เพียงแต่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีเท่านั้น แม้แต่ประธานสมาคมน้ำตาลแห่งชาติ (National Sugar Association) และผู้ผลิตอิควลก็ไม่พอใจผลิตภัณฑ์สเปลนดาด้วย พวกเขายื่นฟ้องศาลโดยเรียกร้องว่า ผู้ผลิตสเปลนดานั้นหลอกลวงผู้บริโภคให้เชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติ เพราะจริง ๆ แล้ว “เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการทางเคมีชั้นสูง” แต่อย่าเพิ่งหลวมตัวคิดว่าบริษัทผลิตสารแทนน้ำตาลยักษ์ใหญ่จะหันมาสนใจสุขภาพของประชาชนหรอกนะ ตลกอันแยบยลของ สเปลนดาเป็นเพียงการปั่นยอดขายเท่านั้น แต่เมื่อดอกเตอร์ไมเคิล เอฟ.จาค็อบสัน(Dr.Michael F. Jacobson) ผู้อำนวยการบริหารของศูนย์ วิทยาศาสตร์เพื่อสาธารณ (Center for Science in the Public Interest) ซึ่งมักออกโรงวิพากษ์วิจารณ์สมาคมน้ำตาลแห่งชาติก็ยังต้องยอมรับว่า
                “การโฆษณาหรือการติดป้าย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหรือไม่ ก็ควรจะมีความซื่อตรงและไม่หรอกลวง”
                ชัดเจนเลยว่าน้ำตาลเทียม และน้ำตาลขัดขาวนั้นมีโทษหลายประการ ลองมาดูกันอีกอย่างหนึ่ง ร่างกายของเรามีปฏิกิริยาที่สร้างความสมดุลอยู่ตลอดเวลาแล้ว นั่นคือค่าพีเอช (pH) พูดง่าย ๆ ก็คือ อาหารทุกอย่างที่เรากินเข้าไปนั้นมีความสมดุลของค่าพีเอชในตัวเอง เมื่อมีการย่อยอาหารในร่างกายอาหารเหล่านั้นจะสร้างกรด หรือ “เถ้า” อัลคาไลน์ในร่างกายเราโดยขึ้นอยู่กับปริมาณเกลือแร่ในอาหาร เซอร์ไพรส์สุด ๆ เลยที่รู้ว่าน้ำตาลเทียมนั้นสร้างกรดได้ในปริมาณสูง (รวมถึงพวกกาแฟโปรตีนที่มากเกินจำเป็น เนื้อ นมพาสเจอร์ไรซ์ น้ำตาลขัดขาวและอาหารที่มีไขมันด้วย)
                เมื่อร่างกายของเรามีกรดมากเกินไปอาจทำให้เกิดการป่วยไข้ได้ บางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวว่าป่วยจนกระทั่งสายเกินแก้แต่เราสามารถสังเกตอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เช่น ผิวหนัง อาการแพ้ ปวดหัว เป็นไข้ หรือติดเชื้อยีสต์ หรือเราอาจมีอาการเจ็บป่วยรุนแรง เช่น ต่อมไทรอยด์ ตับและต่อมหมวกไตเสียหายหากสมดุลพีเอชมีความเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายของเราจึงต้องสร้างปฏิกิริยาปกป้องตัวเองขึ้น ร่างกายจะดึงเอาเกลือแร่ที่สะสมเอาไว้ออกมาใช้เพื่อปรับสมดุลพีเอชให้เป็นกลาง ถ้าเกลือแร่ที่เก็บสะสมไว้เหลือน้อยเกินไป ร่างกายก็จะดึงเกลือแร่ออกมาจากกระดูกและกล้ามเนื้อของเรา ถ้าทั้งหมดที่เล่ามานี้ยังไม่ทำให้คุสะทกสะท้านแล้วล่ะก็ ลองอ่านนี่ดูแล้วจะรู้ว่าเซลล์มะเร็งจะถูกสร้างขึ้นในสภาวะที่เป็นกรด
                พูดกันตามจริงเลยว่า คุณอาจคิดว่ากรดจากผลไม้ก็เป็นกรดเช่นกัน แต่ความจริงแล้วเมื่อกินผลไม้เข้าไปแล้วกรดเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นด่าง เรารู้ว่าเรื่องนี้ขัดแย้งกับความคิดที่ว่า “ใช้สมองคิดซะบ้าง” เพราะกรดในผลไม้ยังไงก็เป็นกรด แต่ผลไม้เหล่านั้นประกอบไปด้วยโพแทสเซียมและแคลเซียม ซึ่งจะทำให้เกลือกลายเป็นด่าง นอกจากนี้ยังมีเกลืออัลคาไลน์อยู่เป็นจำนวนมากด้วย ผลไม้ ผัก และพืชตระกูลถั่วแทบทุกชนิดจะเปลี่ยนเป็นอัลคาไลน์เมื่อเข้าสู่ร่างกายเรา อาหารชนิดอื่นๆที่เป็นอัลคาไลน์ก็มีผักทะเล มิโสะ ถั่วเหลือง และเต้าหู้
                ผลไม้เป็นของดี น้ำตาลจากธรรมชาติก็เป็นของดี น้ำตาลขัดขาวเป็นของเลว น้ำตาลเทียมเป็นของเลว
 “สงสัยอะไรอีกไหม”

ผู้แต่ง โรรี่ ฟรีดแมน และ คิม บาร์นูอิน
แปลโดย น้ำฝน...



อ้างอิง
โรรี่ ฟรีดแมน และ คิม บาร์นูอิน. (2553). ผอมเหลือร้าย. (แปลจากเรื่อง Skinny Bitch โดย น้ำฝน (พิมพ์ครั้'ที่1).นนทบุรี: ไอดีซี พรีเมียร์.

11 ความคิดเห็น:

  1. ได้ความรู้มากเลยคะ

    ตอบลบ
  2. เป็นประโยชน์มาก

    ตอบลบ
  3. ได้ความรู้มากเลยคะ

    ตอบลบ
  4. ปกติชอบหวาน...รู้อย่างนี้จะลด

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณสำหรับความรู้คะ ทีหลังจะทานน้ำตาลให้น้อยลง

    ตอบลบ
  6. ได้ประโยชน์มากเลย

    ตอบลบ
  7. เนื้อหาสาระดีมากค่ะ

    ตอบลบ

See You Again...